วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2561

ใบความรู้ที่5 บทความสำหรับโครงงานคอมพิวเตอร์ "การเอาชนะความขี้เกียจ"

ใบงานที่ 5 บทความ

การเอาชนะความขี้เกียจสำหรับโครงงานคอมพิวเตอร์ "การเอาชนะความขี้เกียจ"



มีหลายคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตนเอง ต้องเคยคิดหรือรู้สึกว่าเจ้าความขี้เกียจของเรานี่มันช่างเป็นตัวขัดขวางให้เราไม่พัฒนาเสียจริงๆ ทั้งที่มีความตั้งใจเริ่มต้นไว้ดิบดีแล้วก็ตาม.. เขาถึงได้บอกว่าการพัฒนาตนเองนั้นเราต้องมีเป้าหมาย มีแรงจูงใจ แรงบันดาลใจ เพราะเมื่อใดเกิดขี้เกียจขึ้นมา ท้อขึ้นมา ก็จะได้แรงเหล่านี้เป็นตัวผลักให้หลุดจากความท้อ ความขี้เกียจไปได้
ซึ่งปัญหามันก็มีต่อว่า แม้ได้รับแรงผลักที่ดี บางทีผ่านไปไม่นาน มันก็ยังขี้เกียจอยู่ดี.. อาจด้วยเพราะเจออุปสรรค หมดแรงจูงใจก็ตาม คงไม่จำเป็นต้องมัวไปหาสาเหตุที่คนเราขี้เกียจ เพราะไม่ว่าจะจากเหตุไหนอย่างไรมันก็คงไม่ดี โดยอย่างยิ่งกับหลายสิ่งที่เราต้องการผลลัพธ์เป็นความสำเร็จ มันคงไม่สำเร็จได้โดยง่ายบนภาวะเช่นนี้
สำหรับผมแล้วมีแนวคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า อะไรที่เรารู้ว่ามันไม่ดี แต่เอาชนะมันไม่ได้ ตัดมันไม่ได้ เราก็ต้องปรับหรือเปลี่ยนเพื่ออยู่กับมันให้ดีให้ได้ เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอไม่มีอะไรเลวร้ายไปเสียหมด ความขี้เกียจก็เช่นกัน และมันต้องเริ่มจากการ “เปลี่ยนทัศนคติ” เปลี่ยนความคิด ไปในด้านที่ควรจะเป็น เหมือนเช่น ความขี้เกียจที่มันก็มีดีของมันอยู่ ดังแง่คิดต่อไปนี้
ก็เพราะขี้เกียจเดิน เราจึงมีรถใช้?

ขี้เกียจจึงหาทางลัด

นี่เป็นจุดแข็งของความขี้เกียจเลยทีเดียว ผมเป็นคนหนึ่งที่บ่อยครั้งขี้เกียจทำอะไรๆ ในแบบที่ เขาว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งบางทีมันมีกระบวนการที่ไม่จำเป็นเอาเสียเลย จนมันจึงกลายเป็นเรื่องที่ยาก (เพราะหลายขั้นตอน) ไปเลยก็มี จึงชอบที่จะหาทางลัดและทำมันให้สำเร็จโดยเร็ว หรือไม่เช่นนั้นก็หาวิธีช่วย หรือ เครื่องมือช่วยทำให้ขั้นตอนต่างๆ เร็วขึ้น ง่ายขึ้น อะไรก็ตาม ผมเชื่อว่า หลายๆ นวัตกรรมก็เกิดจากความขี้เกียจคล้ายกันแบบนี้แหละ จะว่าไปแล้ว บางทีก็เพราะขี้เกียจเดิน เราจึงมีรถใช้กัน ทุกวันบนโลกนี้ก็เป็นได้ (จริงๆ น่าจะอยากไปเร็วขึ้น ขี้เกียจเสียเวลามากกว่า.. แต่ก็ขี้เกียจอีกนั่นแหละ)
แต่ก็ต้องเตือนกันไว้ก่อนว่า บางเรื่อง บางอย่างมันไม่มีวิธีลัด กลายเป็นว่ามัวแต่หาวิธีทั้งๆ ที่ทำๆ มันไปเลยคงจบไปแล้ว ตรงนี้ก็ต้องดูด้วยว่าบางเรื่องมันขี้เกียจหรือขยัน(หาวิธี) แบบผิดๆ กันแน่ รวมถึงต้องเตือนกันในความคิดบางอย่างที่อยากจะลัดมากไปจนกลายเป็นสิ้นคิดในบางแง่มุม ยกตัวอย่างสุดง่าย ก็คือ ขี้เกียจทำงาน เลยไปปล้นธนาคาร นี่คือวิธีลัด ด้วยความเคารพ ขี้เกียจไม่ว่าแต่อย่าโง่ไปด้วยเลยครับ

ขี้เกียจถาม/ขอร้อง

เอาความขี้เกียจตัวเองยกมามาเป็นตัวอย่างอีกเรื่อง นี่ผมก็ถือว่าเป็นข้อดีที่สุดของความขี้เกียจของผมและมันเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างผมมาเป็นผมเลยทีเดียว ในการที่คนเราจะรู้หรือทำอะไรสักอย่าง มันก็ต้องควรได้รับองค์ความรู้ที่ถูกต้องเสียก่อน ไม่เช่นนั้น สิ่งต่างๆ มันก็ยากเกินไป เพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน แต่จากประสบการณ์ ผมมักจะมีปัญหาในการที่จะถาม ขี้เกียจถาม บางทีถามไม่ได้คำตอบที่ดีพอ ทำให้ชอบที่จะหาคำตอบเอง ไม่ว่าจะเป็นการหาความรู้ ไปจนถึงลงมือลองทำด้วยตนเอง อะไรก็ตามที่เราศึกษาเอง ลองผิดลองถูกเอง เรามักจะรู้จริง รู้ซึ้งในระดับหนึ่งของสิ่งนั้นๆ เพราะผ่านกระบวนการผิดถูก หรือหาความรู้อย่างรอบด้านมาพอสมควร เมื่อมันสะสมมากเข้าเราก็รู้มาก รู้กว้าง ที่แม้ไม่ได้เก่งไปเสียทุกเรื่อง แต่ก็ได้เปรียบคนอื่นในหลายๆ เรื่อง
หลายคนอาจบอกว่า ไม่เคยขี้เกียจถาม เพราะถามแล้วเขาบอกทำได้เร็วกว่า หรือถามให้คนอื่นช่วยทำดีกว่า รวมๆ คือขี้เกียจคิดเองทำเอง ถามเอาสบายกว่าเยอะ ผมก็เห็นด้วย แต่เฉพาะในบางเรื่องเท่านั้น เพราะหลายๆ เรื่องถ้าถามครั้งหนึ่ง เราก็รู้แค่เรื่องหนึ่งต้องถามเขาเอาอีกหลายเรื่อง แถมบางทีก็ต้องไปไล่ถามคนอื่นต่อเอาอีก ได้คำตอบผิดๆ อีก ไม่รู้จริงอีก ส่วนตัวมองว่ามันน่าเบื่อมาก ที่สำคัญคือ เราไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ในสิ่งนั้น(ต้องไปถามคนอื่น) หลายเรื่องเป็นแบบนี้จริงๆ ซึ่งก็จะมีคนประเภทหนึ่ง เหมือนจะขี้เกียจเรียนรู้ แต่ขยันถามแล้วถามอีกไม่มีเบื่อ!
กระนั้นความขี้เกียจถาม ขี้เกียจร้องขอนี้มีข้อเสียอีกเหมือนกัน คือ เสียเวลา ต้องเจียดเวลาเพื่อรู้เอง เพื่อลองเอง บางทีถามถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา ง่ายกว่าจริงๆ ดังนี้ดูดีๆ ว่ามีใครพอพึ่งพาได้ไหม และอะไรก็ตาม ดังที่บอกไปส่วนหนึ่งว่า นี่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ เป็นผู้มีใจที่รักจะแบ่งปันความรู้ แนวคิดต่างๆ เพราะชีวิตตัวเองเสียเวลาศึกษาอะไรมาเยอะ จึงไม่อยากให้ใครต้องเสียเวลาชีวิตไปเพียงเพื่อรู้บางเรื่องอีกเลย
หากลองคิดดูดีๆ ก็น่าสงสัยตกลงขี้เกียจจริงๆ หรือขยันผิดเรื่องอยู่กันแน่

ขี้เกียจเสียเวลา

เรื่องของเวลา แม้จริงๆ มันจะมีมาตรฐาน เท่ากันแต่ละวันกันทุกคน แต่เราก็กลับรู้สึกไม่เท่ากัน และใช้มันได้อะไรกลับมาไม่เท่ากัน หลายคนได้ประโยชน์ พัฒนา หลายคนไม่ได้ประโยชน์ การที่เราขี้เกียจทำอะไรสักอย่างหากมันเป็นสิ่งไม่จำเป็น ก็คงไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าไม่ย่อมมีผลตามมา บางเรื่องที่เรามองว่าไม่อยากทำตอนนี้ รู้สึกไม่อยากเสียเวลาทำมัน แต่ก็ต้องทำในวันหน้าอยู่ดี แบบนี้แสดงว่าเรากำลังผลัดวันประกันพรุ่ง มองให้ดีๆ แทนที่เราจะได้มีเวลาเหลือในอนาคต ก็กลายมาเสียเวลาทำสิ่งนี้อีก และด้วยเงื่อนเวลามันกลายเป็นว่า ทำภายหลังลำบากกว่า ยากกว่า หรือทำไม่ได้แล้วก็มี.. เช่น ไม่มีคนช่วย
ดีจะได้ไม่ต้องทำ?.. มันไม่เป็นเช่นนั้นน่ะสิ ทุกสิ่งในชีวิตมักเกี่ยวโยงกัน อะไรที่พลาดไป ขาดไป ย่อมต้องถูกทดแทนด้วยสิ่งหนึ่งอย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ซึ่งอาจฟังลึกซึ้งมากไป เช่นนั้นคิดเอาง่ายๆ แค่ว่า บางเรื่องทำๆ ไปตอนนี้ดีกว่ายากภายหลัง เหมือนบอกตัวเองว่า “อย่าต้องเสียเวลากับเรื่องนี้อีก” นั่นก็คือ ทำให้มันจบๆ ไปซะ
ขี้เกียจเสียเวลา ก็ยังมีอีกมุม ดังที่บอกไปว่าเวลาเรามีเท่ากัน แต่หลายคนแทนที่จะเอาไปทำอะไรก็ไม่ทำ อ้างว่าขี้เกียจ แต่มักขยันที่จะไป ฟัง รู้ สนใจ เรื่องคนอื่นไว้ก่อน บ้างอ้างว่าช่วย ช่วยรับฟัง หรืออะไรก็ตาม ซึ่งการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเรื่องดี แต่บางทีก็ขยันแต่เรื่องคนอื่น เพราะคิดเอาว่าตัวเองคงไม่สามารถทำชีวิตตัวเองดีขึ้นได้ง่ายๆ เลยทำให้การได้ช่วยคนอื่นนั้น มันทำให้ชีวิตดูมีคุณค่าขึ้น.. ก็ไม่ผิดที่คิดเช่นนี้ แต่ลองตรองดีๆ ว่าคนเราหากนำพาชีวิตตัวเองก้าวหน้าได้มาก นั่นก็ยิ่งมีกำลัง มีอะไรไว้ช่วยคนอื่นได้มากกว่าตอนนี้หลายเท่านัก และไม่ตกอยู่ในภาวะช่วยแต่เขา ตัวเองเอาไม่รอดอีกด้วย คนเป็นเช่นนี้ อยากก้าวหน้า อยากพัฒนาตนเอง แต่เลือกที่จะใช้เวลากับเรื่องคนอื่น พอเรื่องของตัวเองเต็มไปด้วยข้ออ้างในการทำ และออกแนวขี้เกียจ หากลองคิดดูดีๆ ก็น่าสงสัยตกลงขี้เกียจจริงๆ หรือขยัน.. ผิดเรื่องอยู่กันแน่?
มีหลายอย่างที่คิดว่าขี้เกียจ แต่ที่จริงขยันนะที่ทำไปแบบนั้น

ขี้เกียจทำซ้ำซาก/แก้ไข

นึกกันดูสักหน่อย เราก็จะเจอว่าหลายอย่าง อาจเป็นงานหรือเรื่องในชิวิตประจำวัน ที่เรารู้สึกว่าขี้เกียจและไม่เปลี่ยนแปลงโดยที่มันอาจเป็นเรื่องที่ต้องทำ และทำซ้ำๆไปเช่นนั้น บ้างก็เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขอยู่เช่นนั้น เหมือนคำคมที่เขาว่า “ทำอะไรเดิมๆ ก็ได้ผลลัพธ์เดิมๆ” ในมุมหนึ่งนึ่สะท้อนการพัฒนาบางอย่างของชีวิตชัดเจน และควรจะคิดได้ว่าทำไมไม่คิดหาวิธีที่จะได้ไม่ต้องทำอะไรซ้ำๆ ต้องแก้ไขเรื่องเดิมๆ ล่ะ ทำให้ผมมองว่า มีหลายอย่างที่คนเราคิดว่าขี้เกียจ เลยไม่ใส่ใจ แต่ที่จริงขยันนะ ที่ทำไปแบบนั้น เพราะมันต้องทำซ้ำๆ ซากๆ หลายๆ รอบแก้ปัญหาแบบเดิมๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรื่องคน เรื่องงาน หรือเรื่องอะไรก็ตาม
อาจมีข้อโต้แย้งขึ้นมาว่าให้ทำไงล่ะ เปลี่ยนไม่ได้ ไม่เป็น..ไม่รู้หรอก ก็แล้วแต่ปัจจัย เช่น งานบางอย่างที่คุณเองก็ไม่เข้าใจว่า ต้องทำเรื่องนี้ซ้ำๆ ไปทำไม แต่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เพราะเป็นคำสั่ง ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะขยันทำต่อไป หรือขี้เกียจหาวิธีใหม่? เพราะไม่จริงเลยที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงงานไปในทางดีขึ้นไม่ได้ หากมันดีจริงๆ หรือดีพอ มันย่อมพิสูจน์ตัวเองได้ ไม่เช่นนั้น หางานใหม่อาจสบายกว่าเดิมก็ได้ (จริงๆ เยอะมากที่เปลี่ยนแปลง แล้วงานน้อยลง แต่เงินดีกว่าเดิม) แต่ก็นั่นแหละ ขี้เกียจหางานใหม่.. แต่ขยันทำงานเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรดีขึ้น..

ขี้เกียจพูด/อธิบาย

ทำดีกว่าพูด เราก็รู้กันอยู่ แต่ก็มีไม่น้อยที่รู้สึกว่า ขี้เกียจพูดทำไปเลยดีกว่า แต่ผมไม่ได้กำลังหมายความว่า ขี้เกียจพูดแบบนี้จะดี เพราะนี่มันก็ต้องขยันทำ และมันกลายเป็นว่าก็ต้องทำมันเรื่อยไป และคนที่ขี้เกียจจริงๆ ก็จะรู้ว่ามีคนทำแทน (จนเริ่มงงว่าใครขี้เกียจ ใครขยันกันแน่งานนี้)
แต่ที่จริง การขี้เกียจพูด และขี้เกียจอธิบายนี้เป็นเรื่องดีจริงๆ คือลงมือทำไปเสีย (ไม่ต้องพูดอยู่) และไม่ต้องอธิบาย (ให้มันผ่านไป) เราจะมีเวลาไปคิด ไปทำเรื่องดีๆ อีกมากมาย ซึ่งในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่พูด วิจารณ์ ขยันอธิบาย วิเคราะห์ต่างๆ นาๆ ให้คนอื่นนั้น บางทีก็น่าสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีปัญญาทำด้วยตนเองหรือเปล่า หรืออยากให้เขาช่วย อยากสำคัญ จนบางทีก็งงว่า ต้องการอะไรกันแน่
การเป็นคนขี้เกียจพูด/อธิบาย แล้วลงมือทำนี้ ไม่ได้หมายความว่า ทำแทนใคร ทำเรื่องของใคร เพราะบางครั้งเราไปพูด ไปบ่น ไปอธิบายเร่ืองของคนอื่นที่เราคิดว่า “ห่วง และ หวังดี” ก็ไม่ผิดหรอก แต่ถ้า “ขยัน พูด อธิบาย สิ่งเหล่านั้น” คุณว่า ได้อะไร?.. นั่นแหละเชื่อว่าทุกคนเข้าใจ อย่าไปขยันอะไรสิ่งนี้เลย
การที่เราขี้เกียจ แค่เพราะทำสิ่งไม่ชอบ หรือมันยังไม่ใช่

ขี้เกียจก็คือขี้เกียจ!!

ถ้าใครขยันอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วคิดตามบ้าง แย้งบ้าง ก็อาจจะมองว่า เรื่องนี้ไม่เข้าท่า มันไม่ใช่ว่าขี้เกียจแล้วจะพัฒนาตนเองได้ มันก็แค่เปลี่ยนมุมมองที่ อาจต้องทำบางอย่าง ก็ในเมื่อสำหรับคนขี้เกียจแล้ว “มันไม่อยากทำอะไรสักอย่าง”..
ผมไม่เชื่อว่ามันคือความเป็นจริง เพราะแท้แล้ว ความขยัน กับความขี้เกียจนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ใครชี้วัด คนขยันนั่ง กับคนขยันยืน ก็ขยันเหมือนกัน คนขยันนั่ง ก็บอกว่าขี้เกียจยืน คนขยันยืนก็บอกว่า ขี้เกียจนั่ง มนุษย์นั้นหากหัวใจยังเต้นแล้ว ย่อมต้องสูบฉีดให้ร่างกาย สมองดำเนินไป ในทิศทางที่คนๆ นั้นต้องการ เพียงแต่ว่า เมื่อไม่ใช่สิ่งที่ต้องการมันจึงไม่อยากกระทำ และ การที่เราขี้เกียจ แค่เพราะทำสิ่งไม่ชอบ หรือมันยังไม่ใช่ ความขี้เกียจมีข้อดีดังที่ยกตัวอย่างไป
ความขยันก็มีข้อดีแบบที่รู้กันอยู่ แต่ขี้เกียจผิดเรื่องก็ไม่ดี ขยันผิดเรื่องก็ไม่ดีได้อีก สิ่งที่ต้องข้าม คือ ใจ เท่านั้น ใจที่พ่ายแพ้หรือยังสู้ ลองดูดีๆ ที่ขี้เกียจนั้น มันแค่ใจที่ไม่สู้หรือเปล่า เพราะหากใจยังไหวคำว่าขี้เกียจ ก็เปลี่ยนเป็นการพัฒนาตนเองได้เช่นกัน
ที่มา : กดที่นี่



5 เคล็ดลับเอาชนะความขี้เกียจ
failure-on-the-path-to-success-1940x1199.jpg
5 เคล็ดลับเอาชนะความขี้เกียจ


        เบนจามิน ดิสแรลี นักการเมืองและนักเขียนชาวอังกฤษเคยกล่าวไว้ว่า “ทุกการกระทำอาจไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป แต่ทุกความสุขในชีวิตล้วนเกิดจากการเริ่มลงมือทำทั้งสิ้น” คำพูดดังกล่าวคงเป็นข้อคิดที่ดีสำหรับ ‘คนขี้เกียจ’ ทั่วโลกให้เพิ่มพลังในตัวเอง และเริ่มลงมือทำในสิ่งที่ต้องการ
        ความขี้เกียจมี 2 อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือความขี้เกียจหลังจากทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์จนอยากจะนอนเฉยๆ ในวันหยุด ส่วนอีกประเภทคือขี้เกียจเพราะขาดแรงกระตุ้น มีเป้าหมายแต่ไม่มีพลังงานที่จะทำให้สำเร็จ ซึ่งเคล็ดลับ  5 ข้อที่จะพูดถึงต่อไปนี้เป็นการชนะความขี้เกียจอย่างหลังเป็นหลัก

         1.อย่าโฟกัสหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน
       เราทุกคนต่างมีรายการเป้าหมายที่ต้องการทำให้สำเร็จำจนวนมาก แต่การโฟกัสแค่ 2-3 เป้าหมายในแต่ละช่วงชีวิตจะทำให้คุณไม่ตระหนกตกใจจนเกินไป ในทางตรงกันข้าม คุณจะมีแรงกระตุ้นให้ทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จมากขึ้น เพราะเมื่อเป้าหมายน้อยลง คุณจะมองเห็นความสำเร็จได้ชัดเจนขึ้น ลองจินตนาการดูว่าการมีเป้าหมาย 3 อย่างใน 6 เดือน กับ 8 อย่างใน 6 เดือน แบบไหนจะเป็นไปได้จริงมากกว่ากัน การมีเป้าหมายเยอะๆ ในเวลาเดียวกันมีแต่จะทำให้คุณเริ่มไม่ถูก ขาดแรงกระตุ้น และไม่ไปไหน เพราะคนเราจะขยันได้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าขยันไปแล้วจะประสบความสำเร็จนั่นเอง

         2. ออกกำลังกาย
       การออกกำลังกายคือหนทางที่ดีที่สุดในการเอาชนะความขี้เกียจ ความขี้เกียจในหลายๆ ครั้งเกิดมาจากการทำงานแลดูยากเย็นซับซ้อนเกินไป แต่การออกกำลังกายจะช่วยให้คุณได้ ‘ลงมือทำ’ บางอย่างโดยไม่ต้องใช้สมองแก้ปัญหาที่ซับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้น คุณแต่ต้องตัดสินใจเริ่มขยับอข้งขยับขา กระโดดโลดเต้น หรือออกไปวิ่งเท่านั้น เมื่อใดที่คุณเอาชนะความขี้เกียจทางร่างกายได้แล้ว จิตใจของคุณก็จะสลัดความขี้เกียจอออกไปได้เช่นกัน นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังฝึกฝนให้คุณรู้จักก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเสมอๆ ซึ่งสามารถนำกลับมาประยุกต์ใช้กับการมุ่งมั่นทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย

         3.หาเวลาพักผ่อนและทำสิ่งที่สนุก
      ‘เอาชนะความขี้เกียจด้วยการพักผ่อน’ วิธีนี้อาจจะฟังดูย้อนแย้งไปนิดแต่รับรองว่าได้ผลเช่นกัน เพราะเวลาคุณรู้สึกพึงพอใจจากการพักผ่อนหรือทำสิ่งที่สนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว คุณจะรู้สึกว่าตัวเองพร้อมสำหรับงานที่ใหญ่และยากมากกว่าปกติ การปลดปล่อยความคิดให้ล่อลงลอยชั่วขณะจะทำให้คุณรู้สึกกดดันน้อยลง และเต็มใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อให้งานสำเร็จมากขึ้นได้

         4. บริหารจัดการตัวเอง
       สภาพแวดล้อมรอบตัวคุณก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อความขยันหรือขี้เกียจเช่นกัน เช่น หากห้องของคุณรกรุงรัง มันจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกจมอยู่กับที่ เพราะนอกจากความรกรุงรังจะให้อารมณ์สับสนวุ่นวายแล้ว การต้องเพิ่มการทำความสะอาดห้องเข้าไปในเป้าหมายก็ดูเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนานัก อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดบ้านและจัดสิ่งของให้เป็นระเบียบจะช่วยกระตุ้นให้คุณทำงานได้มากขึ้นและคล่องแคล่วขึ้น หลังจากจัดการที่อยู่ได้ดีแล้ว คุณก็จะเริ่มข้ามไปบริหารจัดการด้านอื่นๆ ในชีวิตให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เป้าหมายหลายอย่างที่ถูกทอดทิ้งไว้นานก็อาจถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง

          5.คุยกับตัวเอง
        การคุยกับตัวเองมีผลต่อชีวิตเราและสิ่งที่เราทำมากอย่างคาดไม่ถึง การคุยกับตัวเองในเชิงบวกจะช่วยให้การทำงานพัฒนาในเชิงบวกตามไปด้วย เช่น หากวันหนึ่งคุณตื่นมาแล้วอยากพูดกับตัวเองว่า “วันนี้จะต้องเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อย” แต่เปลี่ยนเป็นพูดว่า “วันนี้จะสนุกและมีสิ่งที่ให้ดีใจมากมาย” เท่านี้ก็ช่วยให้จิตใจแจ่มใสและกำจัดเชื้อไฟแห่งความขี้เกียจไปได้ระดับหนึ่งแล้ว มีคนกล่าวว่าคนเรามีความคิดประมาณ 50,000 ความคิดในแต่ละวัน โดยอย่างน้อย 5,000 ความคิดในนั้นเป็นความคิดเชิงลบ ซึ่งถือว่ามากพอที่จะทำให้คุณรู้สึกขาดแรงกระตุ้นได้ การสังเกตตัวเองและคุยกับตัวเองบ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องเชิงบวกจึงมีบทบาทสำคัญที่จะทำให้คุณเป้นคนขยันมากกว่าเดิม







วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2561

ใบความรู้ที่2 สำรวจตัวเอง


Work from PPhumin

ใบงานที่ 4 พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2560

ใบงานความรู้ที่ 4 พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พร บ คอมพิวเตอร์ 60 คืออะไร

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฉบับล่าสุดได้มีการประกาศใช้เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2560 ซึ่งเป็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับ 2

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คืออะไร

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าค่ะว่า พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ที่กำลังจะพูดถึงนี้คืออะไร
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็คือพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ก็เป็นได้ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค สมาร์ตโฟน รวมถึงระบบต่างๆ ที่ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งเป็นพ.ร.บ.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกัน ควบคุมการกระทำผิดที่จะเกิดขึ้นได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ หากใครกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ ก็จะต้องได้รับการลงโทษตามที่พ.ร.บ.กำหนดไว้
ปัจจุบันมีคนใช้คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ตโฟนเป็นจำนวนมาก บางคนก็อาจจะใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ แต่บางคนก็อาจใช้สิ่งนี้ทำร้ายคนอื่นในทางอ้อมด้วยก็ได้
เราอาจจะได้ยินข่าวเรื่องการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ซึ่งบางเหตุการณ์ก็สร้างความเสียหายไม่น้อยเลย เพื่อจัดการกับเรื่องพวกนี้ เลยต้องมี พ.ร.บ.ออกมาควบคุม ในเมื่อการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเรื่องใกล้ตัวเรา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวเราเช่นกัน หากเราไม่รู้เอาไว้ เราอาจจะเผลอไปทำผิด โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจก็ได้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560
กรณีศึกษา: การทำผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
หลังจากมีการประกาศใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับที่ 2 ก็มีเคสที่เข้าข่ายกระทำความผิดพ.ร.บ.ออกมาให้เห็นกันบ้างค่ะ เพื่อสร้างความเข้าใจมากขึ้น เราเลยขอยกตัวอย่างเคสอาจผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาให้อ่านกัน

เคสแรก เป็นเคสที่ออกข่าวอย่างโด่งดังเช่นกัน เป็น กรณีที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งถ่ายรูปตึกที่มีลักษณะเอนๆ พร้อมโพสต์ข้อความประมาณว่า ตึกทรุดตัว ลงบนเฟสบุ๊ค เลยทำให้เกิดเป็นประเด็นที่หลายเอาตกอกตกใจไปกันใหญ่ แต่ต่อมาก็มีการเปิดเผยว่า ตึกที่เห็นนั้นเป็นเพียงดีไซน์ของตึกที่ตั้งใจจะให้เอนแบบนั้นอยู่แล้ว เลยทำให้เจ้าของโพสต์ถูกตำรวจเรียกสอบสวน เพราะเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (2) นำข้อความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จก่อให้เกิดความตื่นตระหนก

อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็สามารถช่วยคุ้มครองผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ตได้ด้วย อย่างเช่น กรณีคดีของคุณบริบูรณ์ เกียงวรางกูล ที่ถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) จากการโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตำรวจเข้าค้นบ้าน โดยอ้างอำนาจตาม มาตรา 44
ซึ่งคุณบริบูรณ์ได้ยื่นหนังสือร้องความเป็นธรรมต่อศาลว่า ปัจจุบันได้มีการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 แล้ว โดยพ.ร.บ.ดังกล่าวได้ยกเลิกข้อความใน มาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับเดิม และบัญญัติใหม่ไว้ว่า ห้ามมิให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้ลงโทษกับการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา จึงขอให้อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ผลก็คือ อัยการศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีบริบูรณ์ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
เราก็จะเริ่มเห็นว่า ได้เริ่มมีการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กันอย่างจริงจัง และมีการปรับใช้ให้ตรงตามพ.ร.บ.ที่แก้ไข ไม่ใช่แค่จับกุมผู้ทำผิด แต่ยังคุ้มครองผู้ที่ไม่มีความผิดในพ.ร.บ.ฉบับที่ 2 แล้ว

13 ข้อต้องรู้ พ.ร.บ.คอมพ์ฉบับใหม่บังคับใช้แล้ว

1. การฝากร้านใน Facebook IG ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
2. ส่ง SMS มาโฆษณา โดยไม่รับความยินยอม ต้องมีทางเลือกให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้
ไม่เช่นนั้นถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
3. ส่ง Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
4. กด Like ได้ไม่ผิด พรบ. ยกเว้นการกดไลค์เรื่องเกี่ยวกับสถาบัน เสี่ยงเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม
5. กด Share ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พรบ. โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3
6. พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของคอมพิวเตอร์กระทำเอง สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น ความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ที่ให้แสดงความคิดเห็น
หากพบว่าการแสดงความเห็นผิดกฎหมาย เมื่อแจ้งไปที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อลบได้ทันที เจ้าของระบบเว็บไซต์จะไม่มีความผิด
7.ฉะนั้น แอดมินเพจ ที่เปิดให้มีการแสดงความเห็น เมื่อพบข้อความที่ผิด พรบ. เมื่อลบออกจากพื้นที่ที่ตนดูแล จะถือเป็นผู้พ้นผิด
8. ไม่โพสสิ่งลามกอนาจาร ที่ทำให้เกิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้
9. การโพสเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน ต้องปิดบังใบหน้า ยกเว้นเมื่อเป็นการเชิดชู ชื่นชม อย่างให้เกียรติ
10. การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ต้องไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียเชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ญาติสามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย
11. การโพสด่าว่าผู้อื่น มีกฏหมายอาญาอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลจริง หรือถูกตัดต่อ ผู้ถูกกล่าวหา เอาผิดผู้โพสได้ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
12. ไม่ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ใด ไม่ว่าข้อความ เพลง รูปภาพ หรือวิดีโอ
13. ส่งรูปภาพแชร์ของผู้อื่น เช่น สวัสดี อวยพร ไม่ผิด ถ้าไม่เอาภาพไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หารายได้

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ใบงานที่3 ความรู้เรื่องBlog

ความรู้เรื่อง Blogger


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ blogger


Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 คำ บ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog) โดยคำว่า weblog นั้นมาจาก web (เวิลด์ไวด์เว็บ) และ log (ปูม, บันทึก) ซึ่งรวมกันหมายถึง “ปูมเว็บ” หรือ บันทึกบนเวิล์ดไวด์เว็บ นั่นเอง หรือ ถ้าจะขยายความมากไปกว่านั้น Blog ก็จะหมายถึง การบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ มีการจัดเรียง “เรื่อง” หรือ post เรียงลำดับ โดยเรื่องใหม่จะอยู่ด้านบนสุด ส่วนเรื่องเก่าก็จะอยู่ด้านล่างสุด ซึ่งจะมีวันที่-เวลาเขียนกำกับไว้ เป็นที่นิยมกันในหมู่มาก

มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นแค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลาย และครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างไดอารี่ จนถึงการบันทึกบทความเฉพาะด้านต่างๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องธุรกิจ เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อก เป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้นๆ มีการสื่อสารกับผู้อ่านผ่านทางระบบ comment และมีการถ่ายทอดอย่างเป็นกันเอง โดยบล็อกบางแห่งจะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็เขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะเช่นเพื่อน หรือคนในครอบครัว Blog ให้ อิสระในการเขียนเรื่องอะไรก็ได้ตามแต่ใจผู้เขียน โดยจะสะท้อนบุคลิกของผู้เขียนออกมา ถ้าคนไหนเป็นคนตลก ก็จะเขียนออกมาได้สนุกสนาน น่าอ่าน, ใครชอบเลี้ยงสุนัขจะเล่าเรื่องสุนัขของตัวเอง เป็นต้น Blog มีทั้งบริการแบบเสียค่าใช้จ่าย และไม่เสียค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการให้บริการ ซึ่งมักจะติดตั้ง Tool ให้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากนัก

Blogger สามารถแปลได้ 2 ความหมายคือ

1. คนเขียนบล็อก หรือเจ้าของบล็อกนั่นเอง
2. ระบบ update blog หรือ blog engine ที่เรียกว่า Blogger.com นั่นเอง

ซึ่งสามารถประเภทจำแนกได้คร่าวๆ ดังนี้

1. บล็อกเกอร์อิสระ นักเขียนบล็อกประเภทนี้จะเขียนบล็อกของตัวเอง โดยจำกัดบล็อกของตัวเองไว้ว่าเป็นบล็อกส่วนตัว สำหรับเขียนเรื่องราวส่วนตัว หรือความคิดส่วนตัว โดยไม่ได้นำเสนอบล็อกของตัวเองเพื่อการอย่างอื่น นอกจากการชมเพื่อความบันเทิง, ความสนุกในหมู่เพื่อนฝูง

2. บล็อกเกอร์แนวธุรกิจ => รับทำบล๊อกเกอร์
นักเขียนบล็อกกลุ่มนี้ มักจะเขียนเนื้อหาของ blog ที่เป็นการแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการของตน คือใช้ blog เป็นเครื่องมือในการทำการตลาดนั่นเอง

3. บล็อกเกอร์แบบองค์กร บล็อกเกอร์กลุ่มนี้ จะใช้ blog เพื่อเป็นการสื่อสารภายใน ไม่ว่าจะเป็นภายในองค์กร เช่นภายในบริษัท หรือใช้สื่อสารภายในทีมฟุตบอล หรือสโมสรต่างๆ
4. บล็อกเกอร์มืออาชีพ บล็อกเกอร์ที่เขียนบล็อกอย่างเดียว โดยมีรายได้จากบล็อกเพื่อยังชีพ บางคนได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือน ให้เขียนบล็อกอย่างเดียว บางคนเขียนบล็อกของตัวเอง โดยได้รับค่าโฆษณาต่างๆ จากผู้สนับสนุน กลุ่มนี้อาจเป็นบริษัทที่เขียนบล็อกโดยเฉพาะ ที่เห็นชัดเจนก็คือ blogger ชาวต่างประเทศ เพราะเขียนให้คนอ่านมากๆ แล้วใช้โฆษณาของ Google Adsense มาติดไว้ บางคนมีก็รายได้จากการเป็น presenter ให้สินค้าต่างๆ

การสรา้งบล๊อค



1.ให้เราทำการพิมพ์ในช่อง URL ด้านบนว่า www.blogspot.com หรือการเข้าสู่เว็บ blogspot นั้นเอง ตามภาพด้านบน



2.ก็จะได้หน้าตาเป็นแบบนี้ให้เราทำการล๊อกอินเข้าไป โดยใช้ Gmail ของเรา



3.พอทำการล๊อกอินเสร็จก็จะได้หน้าตาเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกที่ บล๊อกใหม่




4.พอมาถึงหน้านี้
– ในช่องหัวข้อ ให้เราทำการตั้งชื่อหัวข้อของบล๊อกของเรา(เรื่องที่เราจะเขียนบล๊อก หรือ Title)
– ในช่องที่อยู่ ให้เราทำการตั้งชื่อ URL ของเรา อาทิเช่น gunoob.blogspot.com , cnx-it.blogspot.com เป็นต้น (.blogspot.com จะมาการเติมให้โดยอัตโนมัติ ให้พิมพ์แค่ gunoob หรือ cnx-it)
– ในช่องแม่แบบ ให้เราทำการเลือก รูปแบบของบล๊อกหรือ Theme นั้นเอง (แนะนำให้ใช้แบบง่าย ธีมสามารถเปลี่ยนภายหลังได้)


5.จะได้อกมาเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกเข้าไปเลย (ของผมได้ทำการสร้างใว้ก่อนแล้ว)



6.จะได้หน้าต่างเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกที่ บมความใหม่ เพื่อทำการเขียนบทความหรือ blog


7.พอได้หน้าตาแบบนี้ให้เราทำการเขียนบล๊อก หรือบทความที่เราต้องการได้เลย

– ในช่องโพสต์ด้านบนตัวหนังสือสีส้ม ให้เราทำการเขียนหัวข้อหรือหัวเรื่อง บทความที่เราต้องการเขียน
– การเขียนบทความ ข้อมูล หรือบล๊อกนั้นสามารถทำการเขียนได้ใช้ กระดาษ ตรงกลางหน้า
– ด้านขวามือจะมีป้ายกำกับ ให้เราทำการคลิกเพื่อพิมพ์ คำ ที่ผู้อื่นสามารถค้นบทความของเราเจอได้
– การใส่ลิ้งให้ทำการคลิกที่ ลิ้ง ในแทบเครื่องมือ เพื่อทำการใส่ URL ที่เราต้องการลิ้ง
– การใส่รูปภาพ สามารถทำได้โดยการคลิกที่ แทกรูปภาพ ด้านขวา ลิ้ง ในแทบเครื่องมือ แล้วทำการเลือกไฟล์เพื่ออัพโหลดรูปภาพแล้ว คลิกรูปภาพที่ต้องการเลือก แล้วกดเพิ่มรายการที่เลือก

– ถ้าทำการเขียนบทความเสร็จ ให้ทำการคลิกที่ เผยแพร่ เพื่อทำการเผยแพร่บทความที่สามารถให้ผู้อื่นได้อ่าน หรือเข้าชมได้


8.การเปลี่ยนธีม ตามที่เราต้องการ ให้ทำการคลิกที่ แม่แบบ จะมีให้เราเลือกธีมตามที่เราต้องการ ถ้าจะเอาอันไหนให้ทำการคลิก แล้วกด ใช้กับบล๊อก(ปุ่มสีส้ม)เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ (ธีมเราสามารถออกแบบเองและทำเองตามที่เราต้องการได้)


การใส่เพลง




การใส่ปฏิทิน



การใส่โค๊ดเมาส์




























วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

My Proflies

My Proflies



ธีรพัฒน์  ต่อกัน
Teerapat  tokun

ชื่อ : ธีรพัฒน์  ต่อกัน
ชื่อเล่น : บูม
อายุ : 17 ปี    วันเกิด : 24/04/2001
ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
งานอดิเรก : ออกกำลังกาย เล่นฟิตเนส เล่นกีฬาทุกชนิด ยิงปืน เทควันโด ฟังเพลง

ประถมศึกษา
โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
saint gabriel's college

 


มัธยมศึกษา
โรงเรียนยุพราชวิยาลัย
yupparaj wittayalai school




My Friends


Cr. ห่วงสื่อว่าใด
นี่คือเพื่อนๆของผมที่หล่อและน่ารักทุกคน
มีสมาชิกชื่อ แมน บูม ห่วง มังกร ซัน บาส ไอซ์

My Favorite Music

เพลง Robbers [The 1975]


เพลงแนวอินดี้ร็อก ป็อป ป็อปร็อก


My Family


นี่ึคือครอบครัวของผม
น้องชาย  น้องสาว  พี่สาว  ตัวผมเอง


Dream Job

อาชีพ ดีเจ


ดีเจ คือผู้จัดรายการเพลงประกอบความรู้เกี่ยวกับเพลงหรือเรื่องอื่นๆ 
ซึ่งอยู่ในความสนใจของผู้ฟัง

My Favorite Picture

อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ภาพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร


ศิลปะประจำยุคสมัยรัชกาลที่ 9 ยิ่งใหญ่เป็นที่จดจารึกของชาวโลก











ใบความรู้ที่5 บทความสำหรับโครงงานคอมพิวเตอร์ "การเอาชนะความขี้เกียจ"

ใบงานที่ 5 บทความ การเอาชนะความขี้เกียจสำหรับโครงงานคอมพิวเตอร์ "การเอาชนะความขี้เกียจ" ที่มา :  https://www.dek-d.c...